Friday, November 15, 2013

หน่วย 684 ในวันที่รัฐบาลหักหลัง


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางการเกาหลีเหนือเปิดเผยว่า สามารถจับกุมตัวสายลับเกาหลีใต้ที่เข้าไปสอดแนมได้ ท่ามกลางความตึงเครียดของการซ้อมรบภายในคาบสมุทรเกาหลี วันนี้ เราจะพาย้อนอดีต ไปดูความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีในสมัยก่อนอีกครั้ง

เมื่อครั้งที่เหตุการณ์ภายในคาบสมุทรเกาหลียังคุกรุ่น และการลอบสังหารผู้นำฝ่ายตรงข้ามยังเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หน่วยรบพิเศษ 684 ถือกำเนิดขึ้นภายใต้รัฐบาลของ นายพักจองฮี ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในสมัยนั้น เพื่อเป็นการตอบโต้ปฏิบัติการลอบสังหารตัวเขา ที่เกาหลีเหนือได้ลงมือไว้ก่อนหน้านี้ แต่เกิดผิดพลาด

หน่วย 684 ประกอบด้วยพลเรือน 31 คน จากการรวบรวมโจรกระจอก และคนตกงานมาฝึกฝนให้ลอบสังหารนายคิมอิลซอง ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ โดยสัญญาว่าจะให้เงินให้งานหากภารกิจสำเร็จลุล่วง พร้อมตั้งชื่อว่าหน่วย 684 ซึ่งมาจากปีคริสต์ศักราช 1968 และเดือนเมษายน ที่หน่วยนี้ก่อตั้งขึ้นนั่นเอง

สายลับทั้ง 31 คน ถูกฝึกฝนอย่างทรหด ภายใต้สภาพแวดล้อมที่โหดร้ายบน "ซิลมีโด" เกาะร้างในทะเลเหลือง ห่างจากชายฝั่งอินชอน จนมีสมาชิกเสียชีวิตขณะฝึกซ้อมถึง 7 ราย และในขณะที่โครงการดำเนินอยู่บนเกาะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเกาหลีก็ดีขึ้น จากการเจรจาสันติภาพ ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการกำจัดหน่วยลอบสังหาร 684 ที่ยังคงเป็นความลับอยู่ เพื่อให้เป็นความลับเช่นนั้นตลอดไป

เมื่อรู้ตัวว่าจะถูกกำจัด หน่วย 684 ได้พากันลุกฮือบุกกรุงโซล เพื่อต่อต้านการลบชื่อพวกเขาออกจากประวัติศาสตร์ พวกเขาไม่สามารถตายไปแบบเงียบ ๆ และไม่สามารถทนถูกจดจำในฐานะโจรกระจอกและคนตกงานที่หายตัวไปเฉย ๆ กว่า 3 ปีได้ จึงจำเป็นต้องเรียกร้องความเป็นธรรม และแสดงตัวตนกับกลุ่มบุคคลที่สร้างพวกเขาขึ้นมา นั่นคือ "รัฐบาล"

ทั้งหมดบุกยึดรถประจำทาง และมุ่งหน้าสู่ "ชองวาแด" หรือ ทำเนียบประธานาธิบดี แต่ระหว่างทางได้ถูกกองทัพสกัดไว้ หน่วย 684 จำนวน 20 จาก 24 คน บนรถ ส่วนหนึ่งถูกวิสามัญ อีกส่วนหนึ่งฆ่าตัวตายด้วยระเบิดมือ และอีก 4 คน ที่รอดมาได้ถูกจับขึ้นศาลทหาร และตัดสินประหารชีวิตในปีถัดมา

พวกเขาได้อะไรจากการพยายามมีตัวตน? จากการฝึกซ้อม? และจากรัฐบาล? คำตอบคือ ไม่ได้อะไรเลย และครอบครัวที่รอคอยก็ไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับการพยายามบุกยึดทำเนียบประธานาธิบดีครั้งนั้น ลูกชายหลานชายของพวกเขาแค่หายตัวไปเฉย ๆ หายไปจากบ้าน และหายไปจากประวัติศาสตร์

จนกระทั่ง 30 กว่าปีถัดมา การเข้าโรงฉายของภาพยนตร์เรื่อง "ซิลมีโด" ในปี 2546 ทำให้พวกเขามีตัวตนอีกครั้ง มีตัวตนบนแผ่นฟิล์ม รวมถึงในหัวใจของชาวเกาหลีใต้ และตอกย้ำความโหดเหี้ยมของรัฐบาลในอดีต

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้ยังคงไม่เปิดเผยข้อมูลของหน่วย 684 ต่อสาธารณชน จนกระทั่งปี 2549 จึงมีการส่งหลักฐานยืนยันการเสียชีวิตไปถึงครอบครัว ซึ่งมีการฟ้องร้องเรียกเงินชดเชยจากรัฐบาล โดยศาลได้สั่งให้รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวในปี 2553 ที่ผ่านมา

ผิดด้วยหรือที่พวกเขาเป็นโจรกระจอก? ผิดด้วยหรือที่ตกงาน? และมีชีวิตไร้ค่า... จนรัฐบาลต้องหลอกใช้เหมือนไม่ใช่มนุษย์? คำตอบคือ ไม่ผิดเลย และรัฐบาลที่หักหลังพวกเขาก็ไม่ได้รับผลจากการกระทำครั้งนั้น ไม่ว่าทางใด หรือนี่คือเอกสิทธิ์ของการปกครองประเทศ? และรัฐบาลสามารถหักหลังใครก็ได้... กันแน่?
ที่มา:

Wednesday, November 13, 2013

America would break up into 11nations?

Remember when that crazy Russian professor said America would break up into several different nations?
He may not have been totally far off.
In a new article in Tufts Magazine, Colin Woodard, author of "American Nations: A History of the Eleven Rival Regional Cultures of North America", argues that the U.S. has long been divided into several different cultural entities that, with only a couple of notable exceptions, have somehow been able to coexist alongside one another. 
He writes:
"The original North American colonies were settled by people from distinct regions of the British Isles—and from France, the Netherlands, and Spain—each with its own religious, political, and ethnographic traits. For generations, these Euro-American cultures developed in isolation from one another, consolidating their cherished religious and political principles and fundamental values, and expanding across the eastern half of the continent in nearly exclusive settlement bands. Throughout the colonial period and the Early Republic, they saw themselves as competitors—for land, capital, and other settlers—and even as enemies, taking opposing sides in the American Revolution, the War of 1812, and the Civil War. There’s never been an America, but rather several Americas—each a distinct nation. There are eleven nations today.
Here's how that all breaks down (thanks to Tufts magazine for permission to run the map):
And here's what's inside each one:

"Yankeedom"

The brains of America. This region has kept the Protestant ethics of its founders, valuing education, sacrificing for the greater good, and intellectual development. However, "many of the other nations... regard the Yankee Utopian streak with trepidation," Woodward writes.

"New Netherland"

This region retains the sophistication and commercial bent its Dutch founders exhibited in the 17th century. "Materialistic, with a profound tolerance for ethnic and religious diversity and an unflinching commitment to the freedom of inquiry and conscience."

"The Midlands"

Politically moderate though somewhat inward looking despite a fair amount of ethnic diversity, the legacy of having been settled by both Germans and English Quakers. "It shares the Yankee belief that society should be organized to benefit ordinary people, though it rejects top-down government intervention."

"Tidewater"

In the South but not of the South. Places a premium on tradition but today is "in decline" as Yankee values have breached through the Mason-Dixon line and have begun trickling into places like Charlotte.

"Deep South"

Rejects all forms of regulation, whether from taxes or through environmental policy, and occasionally shows signs of its historical penchant for restricting liberty.

"Greater Appalachia"

Founded by war-ravaged British subjects, this region has a mercurial set of values, having supported the Union during the Civil War but now favoring conservative ethics. 

"El Norte"

Though Spain once controlled the entire Western part of the country, its Latin influence has now been confined to this region. "... norteños have a reputation for being exceptionally independent, self-sufficient, adaptable, and focused on work." 

"The Far West"

The conservative west. Developed through large investment in industry, yet where inhabitants  continue to "resent" the Eastern interests that initially controlled that investment. 

"New France"

A pocket of liberalism nestled in the Deep South, where 18th century Enlightenment values still prevail. "Its people have emerged as down-to-earth, egalitarian, and consensus driven, among the most liberal on the continent."

"The Left Coast"

"A hybrid of Yankee Utopians and Appalachian self-expression and exploration" where farms and i-Pods can live side by side.

"First Nation"

Enjoys de facto independence thanks to its Native American legacy. Yet this often comes at an economic cost.


Read more: http://www.businessinsider.com/actually-there-are-11-americas-map-2013-11#ixzz2kV6qv1SK

Tuesday, October 29, 2013

ผลวิจัยทั่วโลก รถยอดฮิตสีอะไร ?


มีการวิจัยมาจากต่างประเทศ โดยการรายงานของ Detroit Free press ระบุว่า คนในปัจจุบันมีการซื้อรถยนต์ที่มีสีขาวมากขึ้นกว่า 1 ใน 4 ของผู้ซื้อรถยนต์ที่เดินเข้าออกโชว์รูมเลือกจะซื้อรถยนต์สีขาว มีอัตรามากขึ้นร้อยละ 3 จากปีที่แล้ว

การขึ้นมาเป็นผู้นำของสีขาวในรถยนต์ใหม่นับเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้ว หลังจากช่วง 10 ปีที่แล้ว รถยนต์สีเทาเงินเป็นที่นิยมมาตลอดในระยะเวลา 10 ปี

ตามข้อมูลของ PPG Industries, ผู้ผลิตสีรายใหญ่เผยว่า สีเงินและสีดำยังครองใจคนบางกลุ่มได้ด้วยยอดร้อยละ 18 ส่วนในสีอื่นๆ ยังค่อนข้างจะเหมือนในปีที่แล้ว จนแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยอันดับ 3 ที่ครองใจตกเป็นของสีเทา, แดง ตามด้วยน้ำเงิน และเขียว ตามลำดับ

ด้านเจน ฮาร์ริงตัน ผู้จัดการงานส่วนสีของ PPG Industries กล่าวว่า สีที่กำลังมาแรงตามมาเป็นสีแดง เช่นเดียวกับ สีน้ำเงิน ทั้งคู่ต่างทำยอดขายได้เป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับที่แล้ว


"แม้เทรนด์สีขาวจะโต แต่ไม่ใช่ว่าสีขาวทุกเฉดสีจะถูกใจลูกค้า เราพบว่าสีขาวที่เติบโตมากที่สุดเป็นสีขาวมุก ขาวเงา และขาวที่ดูแจ่มใส่ แต่ก็ยังมีบางคนชอบขาวครีม ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากรถกลุ่มที่เป็นฟลีท (สั่งซื้อทีละหลายคัน) จำนวนมาก ชอบสีขาว และรถยนต์รุ่นใหม่ที่ออกทำตลาดก็มักจะพรีเซนต์ด้วยสีขาว ประกอบกับหลายโชว์รูม มักจะสต๊อกรถสีขาวไว้ อาจจะทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจง่ายขึ้น" เจน ฮาร์ริงตันกล่าว

ที่มา:

Sunday, October 27, 2013

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๘๓/๒๕๔๖

คำพิพากษา
ตราครุฑ


ที่ ๖๐๘๓/๒๕๔๖

ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ศาลฎีกา

วันที่ ๑๖ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

ความอาญา

{{{3}}}pxพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดโจทก์
{{{3}}}px
ระหว่าง{{{3}}}pxนางสุดา ปรัชญาภัทรโจทก์ร่วม
{{{3}}}px
{{{3}}}px
นายเสริม สาครราษฎร์จำเลย

เรื่อง   ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ลักทรัพย์ และลหุโทษ


โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๓ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ ศาลฎีการับวันที่ ๒๕ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๑ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนสั้น ขนาด .๓๘ จำนวนหนึ่งกระบอก หมายเลขทะเบียน ร.ย. ๑๗๗ ของผู้อื่นที่มีทะเบียน และกระสุนปืน ขนาด .๓๘ จำนวนสามนัด ไว้ในครอบครอง โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนท้องที่ จำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในถนนสาธารณะและในเมือง โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่ใช่กรณีที่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงโดยใช่เหตุจำนวนสองนัดในเขตเมือง หมู่บ้าน และชุมชน เหตุเกิดที่ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี และแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน และเมื่อระหว่างวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๑ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนางสาวเจนจิรา พลอยองุ่นศรี จำนวนหนึ่งนัด ที่ขมับซ้ายผ่านสมองทะลุออกที่ขมับขวา แล้วจำเลยใช้มีดเฉือนชำแหละอวัยวะต่าง ๆ ของนางสาวเจนจิราออกเป็นชิ้น ๆ จำนวนหลายชิ้น ตัดศีรษะ ควักลูกตาออกทั้งสองข้าง ตัดหู ตัดจมูก กรีดริมฝีปาก และเฉือนเอาหนังศีรษะออก จนเป็นเหตุให้นางสาวเจนจิราถึงแก่ความตาย อันเป็นการฆ่าโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามรายงานการตรวจพิสูจน์บุคคลและรายงานการตรวจศพท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยได้นำศีรษะ แขน ขา และกระดูกส่วนต่าง ๆ อันเป็นส่วนของศพผู้ตาย ไปโยนทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา นำเศษชิ้นเนื้ออวัยวะภายในและหนังศีรษะอันเป็นส่วนของศพผู้ตายทิ้งลงในโถส้วม เพื่อปิดบังการตายและเหตุแห่งการตายของผู้ตาย และจำเลยได้ลักเอาเงินจำนวนสองพันบาท กระเป๋าสะพายผ้าลายสายเดียว ราคาสามพันบาท นาฬิกาข้อมือ ราคาหกพันบาท สร้อยคอสามกษัตริย์ หนักหนึ่งสลึง ราคาหนึ่งพันสี่ร้อยบาท สร้อยข้อมือรูปสัตว์ต่าง ๆ หนักสองสลึง ราคาสามพันบาท วิทยุติดตามตัวราคาสี่พันบาท เครื่องเล่นแผ่นซีดีราคาห้าพันบาท พจนานุกรมอังกฤษแบบมีเสียงหรือทอล์กกิ้งดิกชันนารี ราคาเก้าพันห้าร้อยบาท กระเป๋าใส่สตางค์ ราคาห้าร้อยห้าสิบบาท รวมเป็นเงินสามหมื่นสี่พันสี่ร้อยห้าสิบบาท ของผู้ตายไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ตำบลลาดขวาง อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เกี่ยวพันกัน วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๑ เจ้าพนักงานตำรวจพบกะโหลกศีรษะของผู้ตาย วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๑ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมยึดอาวุธปืนสั้นจำนวนหนึ่งกระบอก ลูกกระสุนปืนจำนวนหนึ่งนัด ปลอกกระสุนปืนขนาด .๓๘ จำนวนสองปลอก ผ้าปูที่นอนลายดอก จำนวนหนึ่งผืน ปี๊ปสี่เหลี่ยมมีรอยเผาจำนวนหนึ่งใบ และกระเป๋าผ้าสีดำจำนวนหนึ่งใบ เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓, ๙๑, ๑๙๙, ๒๘๘, ๒๘๙, ๓๓๔, ๓๓๕, ๓๗๑, ๓๗๖ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒ ทวิ ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยแถลงให้การรับสารภาพว่าฆ่าผู้ตายจริง แต่ปฏิเสธว่ามิได้ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
ระหว่างพิจารณา นางสุดา ปรัชญาภัทร มารดาของนางสาวเจนจิรา พลอยองุ่นศรี ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกเฉพาะข้อหาความผิดต่อชีวิตและลักทรัพย์)
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๙, ๒๘๙ (๔), ๓๓๔, ๓๗๖ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง เป็นกรรมเดียวกัน เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันเป็นบทหนักลงโทษประหารชีวิต ฐานทำลายศพหรือส่วนของศพ จำคุกหนึ่งปี ฐานลักทรัพย์ จำคุกสองปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำคุกหนึ่งปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณา เป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต ฐานทำลายศพหรือส่วนของศพ จำคุกแปดเดือน ฐานลักทรัพย์ จำคุกหนึ่งปี สี่เดือน ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำคุกแปดเดือน เมื่อศาลลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว จึงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ส่วนคำขอและข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๕) อีกบทหนึ่งด้วย ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย กับฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง เป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย อันเป็นบทหนัก ลงโทษประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชลบุรี สำเร็จการศึกษาปริญญา สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ขณะเกิดเหตุ จำเลยอายุยี่สิบสองปี นางสาวเจนจิรา พลอยองุ่นศรี ผู้ตาย อายุยี่สิบสามปี จำเลยและผู้ตายต่างเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ โดยจำเลยเรียนชั้นปีที่สอง และผู้ตายเรียนชั้นปีที่ห้า จำเลยกับผู้ตายรู้จักกัน และมีความชอบพอกันฉันชู้สาว ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยพาผู้ตายไปที่ห้องพักที่เกิดเหตุของจำเลย ที่อาคารพี. เอส. เฮาส์ ซึ่งเป็นห้องเช่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้ตาย แล้วใช้มีดตัดคอผู้ตาย และชำแหละศพผู้ตายออกเป็นชิ้น ๆ จำเลยทิ้งชิ้นส่วนของผู้ตายบางส่วนที่เป็นเนื้อ หนัง และอวัยวะภายใน ลงในส้วมชักโครกในห้องพักที่เกิดเหตุ นำชิ้นส่วนศพของผู้ตายที่เป็นกระดูกและศีรษะไปทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง นำรถยนต์ของผู้ตายไปจอดไว้ที่หมู่บ้านเมืองทองธานี นำอาวุธปืน มีด และทรัพย์ของผู้ตายไปเผาทำลาย วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๑ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า ศาลไม่ควรลดโทษให้จำเลย เพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษหรือไม่ และตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่ และจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หรือฆ่าผู้ตายเพราะเหตุบันดาลโทสะหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมก่อน
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) วางโทษประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๕) อีกบทหนึ่งด้วย ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด วางโทษประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จากความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) มาเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) และ ๒๘๙ (๕) และยังคงจำคุกตลอดชีวิต เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคสอง ข้อห้ามฎีกาดังกล่าวนี้ย่อมใช้บังคับโจทก์ร่วมด้วย เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๑๔) ได้นิยามศัพท์คำว่า ‘โจทก์ หมายความถึง พนักงานอัยการ หรือผู้เสียหาย ซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน’ ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยควรได้รับโทษประหารชีวิต ศาลล่างทั้งสองไม่ควรลดโทษให้จำเลย เพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของโจทก์ร่วมมา ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่นั้น เห็นว่า ปืนเป็นอาวุธโดยสภาพมีอำนาจทำลายล้างรุนแรง สามารถทำอันตรายบุคคลและสัตว์ให้ถึงแก่ชีวิตได้โดยง่าย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้ตาย ซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย กระสุนปืนเข้าทางขมับซ้าย ทะลุออกขมับขวา แสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายให้ตายทันที ดังนี้ แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ตายไม่ได้ถึงแก่ความตายทันทีหลังจากถูกยิง และจำเลยใช้มีดตัดศีรษะผู้ตายขณะที่ผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตาย แต่พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาทำให้ผู้ตายได้รับความลำบากทรมานสาหัสก่อนตาย และไม่ได้ความแจ้งชัดว่าจำเลยได้กระทำการอย่างไรอันเป็นการทรมานหรือทารุณโหดร้ายผู้ตาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้ตาย หลังจากนั้น จึงใช้มีดตัดคอผู้ตาย ประกอบกับจำเลยได้ใช้มีดชำแหละศพผู้ตายออกเป็นชิ้น ๆ แล้วทิ้งชิ้นส่วนศพบางส่วนลงในส้วมชักโครก กับนำชิ้นส่วนศพบางส่วนไปทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง น่าเชื่อว่า จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตายของผู้ตายเท่านั้น มิใช่เพื่อให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดทรมานจนกระทั่งขาดใจตาย ถือไม่ได้ว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๕) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หรือฆ่าผู้ตายเพราะเหตุบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นนักศึกษา ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์ที่มีค่ามากหรือมีผู้ปองร้ายหมายเอาชีวิตจำเลย แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีทรัพย์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์และรถยนต์ ก็เป็นทรัพย์ที่บุคคลมีกันโดยทั่วไป ถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีค่ามากถึงขนาดที่จำเลยต้องนำอาวุธปืนมาไว้สำหรับป้องกันทรัพย์ดังที่จำเลยฎีกา ห้องพักที่เกิดเหตุเป็นห้องเช่า ซึ่งไม่มีห้องครัว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทำครัวปรุงอาหารเอง จึงไม่มีความจำเป็นที่จำเลยต้องมีมีดทำครัวที่มีความคมถึงขนาดใช้ชำแหละศพได้ไว้ในห้องพักที่เกิดเหตุ การที่จำเลยมีอาวุธปืนและมีดดังกล่าวไว้ในห้องพักที่เกิดเหตุ จึงไม่อาจฟังเป็นอย่างอื่น นอกจากจำเลยตระเตรียมไว้สำหรับฆ่าผู้ตายและชำแหละศพผู้ตาย ส่วนของศพที่ชำแหละแล้วย่อมมีกลิ่นคาว และมีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลซึมออกมา การนำออกจากห้องพักที่เกิดเหตุไปทิ้ง ย่อมต้องใช้วัสดุสิ่งของสำหรับห่อหุ้มและบรรจุ เช่น ผ้า กระดาษ ถุงพลาสติก และกล่อง เป็นต้น เพื่อดูดซับน้ำเลือด น้ำเหลือง และกลิ่นคาว รวมทั้งปกปิดไม่ให้มีผู้พบเห็นว่าเป็นชิ้นส่วนของศพ การที่จำเลยสามารถนำชิ้นส่วนศพผู้ตายออกจากห้องพักที่เกิดเหตุไปทิ้ง นำอาวุธปืน มีด และทรัพย์ของผู้ตาย ไปซ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ตลอดจนนำเสื้อผ้าของผู้ตายไปเผาทำลาย ภายในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีผู้พบเห็น แสดงว่า จำเลยได้วางแผนเกี่ยวกับสถานที่ที่จะนำชิ้นส่วนศพผู้ตายไปทิ้ง นำทรัพย์ของผู้ตายไปซ่อน และจัดเตรียมวัสดุต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการนำชิ้นส่วนศพผู้ตายไปทิ้ง ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เพราะจำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กันฉันคนรัก แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ จำเลยจึงบันดาลโทสะฆ่าผู้ตายนั้น เห็นว่า ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรักความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิด และการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความผิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง ดังนี้ แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษประหารชีวิต และลดโทษให้จำเลยแล้ว คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น


กำธร โพธิ์สุวัฒนากุล

สุรชาติ บุญศิริพันธ์

กิติศักดิ์ กิติคุณไพโรจน์


ที่มา:
1. http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%98%E0%B9%93/%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94%E0%B9%96

Saturday, October 26, 2013

10 ความจริงเกี่ยวกับโลกที่คุณอาจยังไม่รู้

          ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คนเรายังไม่รู้อีกมากมาย และอย่าว่าแต่ในจักรวาลเลย แม้แต่บนโลกใบนี้ที่เปรียบได้กับธุลีเล็ก ๆ ของจักรวาล เราก็ยังเรียนรู้อะไรได้ไม่หมด ดังเช่นเรื่องราวของโลกกลม ๆ ที่หมุนไปตามกาลเวลาใบนี้ ที่เชื่อว่าคุณก็ยังไม่รู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับมัน วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอรวบรวมเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับโลกใบนี้มาฝากกัน เชื่อว่าน่าจะทำให้หลาย ๆ คนรู้จักโลกมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว



   1. โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็ว 1,670 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาพบว่าโลกเราน่าจะหมุนรอบตัวเองช้าลงเรื่อย ๆ  จากเมื่อหลายล้านปีก่อน โลกเคยหมุนเร็วกว่านี้จน 1 วันบนโลกน่าจะมีเพียง 20 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ปัจจุบัน 1 วันบนโลกอยู่ที่ 23 ชั่วโมง 56 นาที 4 วินาที (หรือที่เราปัดเป็น 24 ชั่วโมง) และในอีกหลายล้านปีข้างหน้า เวลา 1 วันบนโลกอาจยาวไปเป็น 27 ชั่วโมงเลยทีเดียว

   2. โลกเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วราว 1 แสนกิโลเมตรต่อชั่วโมง และอย่างที่รู้กันดีว่า กว่าที่โลกจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ต้องใช้เวลาถึง 1 ปี ลองคิดดูสิว่าในปีหนึ่งโลกของเราจะต้องโคจรเป็นระยะทางไกลแค่ไหน

   3. โลกมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ยประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร แต่กระนั้นแสงแดดยังคงทำให้ผิวเราไหม้ได้ เลิกจินตนาการได้เลยว่าดวงอาทิตย์จะร้อนและมีขนาดใหญ่โตมโหฬารแค่ไหน

   4. พื้นผิวโลกมีส่วนที่เป็นน้ำมากถึง 71 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด แต่ที่เรายังต้องรณรงค์ประหยัดน้ำอยู่เรื่อย ๆ ก็เพราะน้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคได้นั้นมีแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 97 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นน้ำเค็มทั้งหมด

   5. โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ 8.7 ล้านสายพันธุ์ โดยแยกเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนบก 6.5 ล้านสายพันธุ์ ส่วนอีก 2.2 สายพันธุ์นั้นอยู่ในน้ำ (นี่ยังไม่นับรวมกับสิ่งมีชีวิตอีกหลายสายพันธุ์ที่เรายังไม่ค้นพบอีกนะนี่)

   6. โลกมีอายุราว 4.5 พันล้านปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ประมาณ 150-200 ล้านปีที่แล้ว หรือคิดเป็น 5-10 เปอร์เซ็นต์ของอายุโลก

   7. ทุก ๆ วันจะมีอุกกาบาตตกรวมแล้วกว่า 100 ตันทั่วโลก แต่ไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ ให้กับคนบนโลก เพราะมันเผาไหม้บนชั้นบรรยากาศไปก่อนตกสู่พื้นผิวโลกแล้ว

   8. โลกมีภูเขาไฟมากกว่าที่เราคิดไว้เยอะ และมีภูเขาไฟระเบิดอยู่บ่อย ๆ แต่ภูเขาไฟกว่า 90 เปอร์เซ็นต์บนโลกนั้น อยู่ใต้มหาสมุทรลึก

   9. แกนโลกมีอุณหภูมิสูงมาก ประมาณ 5,500 องศาเซลเซียส พอ ๆ กับความร้อนพื้นผิวดวงอาทิตย์เลยทีเดียว และที่แกนโลกนั้นดูเหมือนจะเป็นขุมทองแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยทอง 99 เปอร์เซ็นต์ของโลกอยู่ที่แกนโลกนั่นเอง (ว่าแต่มีใครสนใจจะเจาะลงไปบ้างไหมล่ะ?)

   10. มนุษย์สำรวจท้องทะเลได้เพียงไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะสำรวจผืนน้ำได้ทั่วโลก

ที่มา:
1.http://men.kapook.com/view74621.html