Tuesday, October 29, 2013

ผลวิจัยทั่วโลก รถยอดฮิตสีอะไร ?


มีการวิจัยมาจากต่างประเทศ โดยการรายงานของ Detroit Free press ระบุว่า คนในปัจจุบันมีการซื้อรถยนต์ที่มีสีขาวมากขึ้นกว่า 1 ใน 4 ของผู้ซื้อรถยนต์ที่เดินเข้าออกโชว์รูมเลือกจะซื้อรถยนต์สีขาว มีอัตรามากขึ้นร้อยละ 3 จากปีที่แล้ว

การขึ้นมาเป็นผู้นำของสีขาวในรถยนต์ใหม่นับเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้ว หลังจากช่วง 10 ปีที่แล้ว รถยนต์สีเทาเงินเป็นที่นิยมมาตลอดในระยะเวลา 10 ปี

ตามข้อมูลของ PPG Industries, ผู้ผลิตสีรายใหญ่เผยว่า สีเงินและสีดำยังครองใจคนบางกลุ่มได้ด้วยยอดร้อยละ 18 ส่วนในสีอื่นๆ ยังค่อนข้างจะเหมือนในปีที่แล้ว จนแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยอันดับ 3 ที่ครองใจตกเป็นของสีเทา, แดง ตามด้วยน้ำเงิน และเขียว ตามลำดับ

ด้านเจน ฮาร์ริงตัน ผู้จัดการงานส่วนสีของ PPG Industries กล่าวว่า สีที่กำลังมาแรงตามมาเป็นสีแดง เช่นเดียวกับ สีน้ำเงิน ทั้งคู่ต่างทำยอดขายได้เป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับที่แล้ว


"แม้เทรนด์สีขาวจะโต แต่ไม่ใช่ว่าสีขาวทุกเฉดสีจะถูกใจลูกค้า เราพบว่าสีขาวที่เติบโตมากที่สุดเป็นสีขาวมุก ขาวเงา และขาวที่ดูแจ่มใส่ แต่ก็ยังมีบางคนชอบขาวครีม ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากรถกลุ่มที่เป็นฟลีท (สั่งซื้อทีละหลายคัน) จำนวนมาก ชอบสีขาว และรถยนต์รุ่นใหม่ที่ออกทำตลาดก็มักจะพรีเซนต์ด้วยสีขาว ประกอบกับหลายโชว์รูม มักจะสต๊อกรถสีขาวไว้ อาจจะทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจง่ายขึ้น" เจน ฮาร์ริงตันกล่าว

ที่มา:

Sunday, October 27, 2013

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๐๘๓/๒๕๔๖

คำพิพากษา
ตราครุฑ


ที่ ๖๐๘๓/๒๕๔๖

ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
ศาลฎีกา

วันที่ ๑๖ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖

ความอาญา

{{{3}}}pxพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุดโจทก์
{{{3}}}px
ระหว่าง{{{3}}}pxนางสุดา ปรัชญาภัทรโจทก์ร่วม
{{{3}}}px
{{{3}}}px
นายเสริม สาครราษฎร์จำเลย

เรื่อง   ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ลักทรัพย์ และลหุโทษ


โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๓ เดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ ศาลฎีการับวันที่ ๒๕ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๑ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนสั้น ขนาด .๓๘ จำนวนหนึ่งกระบอก หมายเลขทะเบียน ร.ย. ๑๗๗ ของผู้อื่นที่มีทะเบียน และกระสุนปืน ขนาด .๓๘ จำนวนสามนัด ไว้ในครอบครอง โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนท้องที่ จำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในถนนสาธารณะและในเมือง โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และไม่ใช่กรณีที่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงโดยใช่เหตุจำนวนสองนัดในเขตเมือง หมู่บ้าน และชุมชน เหตุเกิดที่ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี และแขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน และเมื่อระหว่างวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๑ ถึงวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๑ วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนางสาวเจนจิรา พลอยองุ่นศรี จำนวนหนึ่งนัด ที่ขมับซ้ายผ่านสมองทะลุออกที่ขมับขวา แล้วจำเลยใช้มีดเฉือนชำแหละอวัยวะต่าง ๆ ของนางสาวเจนจิราออกเป็นชิ้น ๆ จำนวนหลายชิ้น ตัดศีรษะ ควักลูกตาออกทั้งสองข้าง ตัดหู ตัดจมูก กรีดริมฝีปาก และเฉือนเอาหนังศีรษะออก จนเป็นเหตุให้นางสาวเจนจิราถึงแก่ความตาย อันเป็นการฆ่าโดยทรมานและโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามรายงานการตรวจพิสูจน์บุคคลและรายงานการตรวจศพท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยได้นำศีรษะ แขน ขา และกระดูกส่วนต่าง ๆ อันเป็นส่วนของศพผู้ตาย ไปโยนทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา นำเศษชิ้นเนื้ออวัยวะภายในและหนังศีรษะอันเป็นส่วนของศพผู้ตายทิ้งลงในโถส้วม เพื่อปิดบังการตายและเหตุแห่งการตายของผู้ตาย และจำเลยได้ลักเอาเงินจำนวนสองพันบาท กระเป๋าสะพายผ้าลายสายเดียว ราคาสามพันบาท นาฬิกาข้อมือ ราคาหกพันบาท สร้อยคอสามกษัตริย์ หนักหนึ่งสลึง ราคาหนึ่งพันสี่ร้อยบาท สร้อยข้อมือรูปสัตว์ต่าง ๆ หนักสองสลึง ราคาสามพันบาท วิทยุติดตามตัวราคาสี่พันบาท เครื่องเล่นแผ่นซีดีราคาห้าพันบาท พจนานุกรมอังกฤษแบบมีเสียงหรือทอล์กกิ้งดิกชันนารี ราคาเก้าพันห้าร้อยบาท กระเป๋าใส่สตางค์ ราคาห้าร้อยห้าสิบบาท รวมเป็นเงินสามหมื่นสี่พันสี่ร้อยห้าสิบบาท ของผู้ตายไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ตำบลลาดขวาง อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เกี่ยวพันกัน วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๑ เจ้าพนักงานตำรวจพบกะโหลกศีรษะของผู้ตาย วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๑ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมยึดอาวุธปืนสั้นจำนวนหนึ่งกระบอก ลูกกระสุนปืนจำนวนหนึ่งนัด ปลอกกระสุนปืนขนาด .๓๘ จำนวนสองปลอก ผ้าปูที่นอนลายดอก จำนวนหนึ่งผืน ปี๊ปสี่เหลี่ยมมีรอยเผาจำนวนหนึ่งใบ และกระเป๋าผ้าสีดำจำนวนหนึ่งใบ เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓, ๙๑, ๑๙๙, ๒๘๘, ๒๘๙, ๓๓๔, ๓๓๕, ๓๗๑, ๓๗๖ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒ ทวิ ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยแถลงให้การรับสารภาพว่าฆ่าผู้ตายจริง แต่ปฏิเสธว่ามิได้ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย
ระหว่างพิจารณา นางสุดา ปรัชญาภัทร มารดาของนางสาวเจนจิรา พลอยองุ่นศรี ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูกเฉพาะข้อหาความผิดต่อชีวิตและลักทรัพย์)
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๙, ๒๘๙ (๔), ๓๓๔, ๓๗๖ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง เป็นกรรมเดียวกัน เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันเป็นบทหนักลงโทษประหารชีวิต ฐานทำลายศพหรือส่วนของศพ จำคุกหนึ่งปี ฐานลักทรัพย์ จำคุกสองปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำคุกหนึ่งปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณา เป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต ฐานทำลายศพหรือส่วนของศพ จำคุกแปดเดือน ฐานลักทรัพย์ จำคุกหนึ่งปี สี่เดือน ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำคุกแปดเดือน เมื่อศาลลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว จึงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ส่วนคำขอและข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๕) อีกบทหนึ่งด้วย ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย กับฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง เป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย อันเป็นบทหนัก ลงโทษประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชลบุรี สำเร็จการศึกษาปริญญา สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ขณะเกิดเหตุ จำเลยอายุยี่สิบสองปี นางสาวเจนจิรา พลอยองุ่นศรี ผู้ตาย อายุยี่สิบสามปี จำเลยและผู้ตายต่างเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ โดยจำเลยเรียนชั้นปีที่สอง และผู้ตายเรียนชั้นปีที่ห้า จำเลยกับผู้ตายรู้จักกัน และมีความชอบพอกันฉันชู้สาว ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยพาผู้ตายไปที่ห้องพักที่เกิดเหตุของจำเลย ที่อาคารพี. เอส. เฮาส์ ซึ่งเป็นห้องเช่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้ตาย แล้วใช้มีดตัดคอผู้ตาย และชำแหละศพผู้ตายออกเป็นชิ้น ๆ จำเลยทิ้งชิ้นส่วนของผู้ตายบางส่วนที่เป็นเนื้อ หนัง และอวัยวะภายใน ลงในส้วมชักโครกในห้องพักที่เกิดเหตุ นำชิ้นส่วนศพของผู้ตายที่เป็นกระดูกและศีรษะไปทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง นำรถยนต์ของผู้ตายไปจอดไว้ที่หมู่บ้านเมืองทองธานี นำอาวุธปืน มีด และทรัพย์ของผู้ตายไปเผาทำลาย วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๑ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า ศาลไม่ควรลดโทษให้จำเลย เพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษหรือไม่ และตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่ และจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หรือฆ่าผู้ตายเพราะเหตุบันดาลโทสะหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมก่อน
สำหรับปัญหาตามฎีกาของโจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) วางโทษประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๕) อีกบทหนึ่งด้วย ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด วางโทษประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒ (๑) หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิต เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จากความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) มาเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๔) และ ๒๘๙ (๕) และยังคงจำคุกตลอดชีวิต เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคสอง ข้อห้ามฎีกาดังกล่าวนี้ย่อมใช้บังคับโจทก์ร่วมด้วย เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๑๔) ได้นิยามศัพท์คำว่า ‘โจทก์ หมายความถึง พนักงานอัยการ หรือผู้เสียหาย ซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน’ ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยควรได้รับโทษประหารชีวิต ศาลล่างทั้งสองไม่ควรลดโทษให้จำเลย เพราะคดีไม่มีเหตุบรรเทาโทษนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของโจทก์ร่วมมา ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้ายหรือไม่นั้น เห็นว่า ปืนเป็นอาวุธโดยสภาพมีอำนาจทำลายล้างรุนแรง สามารถทำอันตรายบุคคลและสัตว์ให้ถึงแก่ชีวิตได้โดยง่าย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้ตาย ซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย กระสุนปืนเข้าทางขมับซ้าย ทะลุออกขมับขวา แสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายให้ตายทันที ดังนี้ แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้ตายไม่ได้ถึงแก่ความตายทันทีหลังจากถูกยิง และจำเลยใช้มีดตัดศีรษะผู้ตายขณะที่ผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตาย แต่พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาทำให้ผู้ตายได้รับความลำบากทรมานสาหัสก่อนตาย และไม่ได้ความแจ้งชัดว่าจำเลยได้กระทำการอย่างไรอันเป็นการทรมานหรือทารุณโหดร้ายผู้ตาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้ตาย หลังจากนั้น จึงใช้มีดตัดคอผู้ตาย ประกอบกับจำเลยได้ใช้มีดชำแหละศพผู้ตายออกเป็นชิ้น ๆ แล้วทิ้งชิ้นส่วนศพบางส่วนลงในส้วมชักโครก กับนำชิ้นส่วนศพบางส่วนไปทิ้งที่แม่น้ำบางปะกง น่าเชื่อว่า จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตายของผู้ตายเท่านั้น มิใช่เพื่อให้ผู้ตายได้รับความเจ็บปวดทรมานจนกระทั่งขาดใจตาย ถือไม่ได้ว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๕) ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
สำหรับปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หรือฆ่าผู้ตายเพราะเหตุบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นนักศึกษา ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์ที่มีค่ามากหรือมีผู้ปองร้ายหมายเอาชีวิตจำเลย แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีทรัพย์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์และรถยนต์ ก็เป็นทรัพย์ที่บุคคลมีกันโดยทั่วไป ถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีค่ามากถึงขนาดที่จำเลยต้องนำอาวุธปืนมาไว้สำหรับป้องกันทรัพย์ดังที่จำเลยฎีกา ห้องพักที่เกิดเหตุเป็นห้องเช่า ซึ่งไม่มีห้องครัว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทำครัวปรุงอาหารเอง จึงไม่มีความจำเป็นที่จำเลยต้องมีมีดทำครัวที่มีความคมถึงขนาดใช้ชำแหละศพได้ไว้ในห้องพักที่เกิดเหตุ การที่จำเลยมีอาวุธปืนและมีดดังกล่าวไว้ในห้องพักที่เกิดเหตุ จึงไม่อาจฟังเป็นอย่างอื่น นอกจากจำเลยตระเตรียมไว้สำหรับฆ่าผู้ตายและชำแหละศพผู้ตาย ส่วนของศพที่ชำแหละแล้วย่อมมีกลิ่นคาว และมีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลซึมออกมา การนำออกจากห้องพักที่เกิดเหตุไปทิ้ง ย่อมต้องใช้วัสดุสิ่งของสำหรับห่อหุ้มและบรรจุ เช่น ผ้า กระดาษ ถุงพลาสติก และกล่อง เป็นต้น เพื่อดูดซับน้ำเลือด น้ำเหลือง และกลิ่นคาว รวมทั้งปกปิดไม่ให้มีผู้พบเห็นว่าเป็นชิ้นส่วนของศพ การที่จำเลยสามารถนำชิ้นส่วนศพผู้ตายออกจากห้องพักที่เกิดเหตุไปทิ้ง นำอาวุธปืน มีด และทรัพย์ของผู้ตาย ไปซ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ตลอดจนนำเสื้อผ้าของผู้ตายไปเผาทำลาย ภายในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีผู้พบเห็น แสดงว่า จำเลยได้วางแผนเกี่ยวกับสถานที่ที่จะนำชิ้นส่วนศพผู้ตายไปทิ้ง นำทรัพย์ของผู้ตายไปซ่อน และจัดเตรียมวัสดุต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการนำชิ้นส่วนศพผู้ตายไปทิ้ง ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เพราะจำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์กันฉันคนรัก แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ จำเลยจึงบันดาลโทสะฆ่าผู้ตายนั้น เห็นว่า ความรักเป็นสิ่งที่เกิดจากใจไม่อาจบังคับกันได้ ความรักที่แท้จริงคือความปรารถนาดีต่อคนที่ตนรักความยินดีที่คนที่ตนรักมีความสุข การให้อภัยเมื่อคนที่ตนรักทำผิด และการเสียสละความสุขของตนเพื่อความสุขของคนที่ตนรัก จำเลยปรารถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความผิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตาย หาใช่ความรักไม่ ทั้งเป็นความเห็นผิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง ดังนี้ แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม กรณีไม่มีเหตุจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษประหารชีวิต และลดโทษให้จำเลยแล้ว คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น


กำธร โพธิ์สุวัฒนากุล

สุรชาติ บุญศิริพันธ์

กิติศักดิ์ กิติคุณไพโรจน์


ที่มา:
1. http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%96%E0%B9%90%E0%B9%98%E0%B9%93/%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%94%E0%B9%96

Saturday, October 26, 2013

10 ความจริงเกี่ยวกับโลกที่คุณอาจยังไม่รู้

          ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คนเรายังไม่รู้อีกมากมาย และอย่าว่าแต่ในจักรวาลเลย แม้แต่บนโลกใบนี้ที่เปรียบได้กับธุลีเล็ก ๆ ของจักรวาล เราก็ยังเรียนรู้อะไรได้ไม่หมด ดังเช่นเรื่องราวของโลกกลม ๆ ที่หมุนไปตามกาลเวลาใบนี้ ที่เชื่อว่าคุณก็ยังไม่รู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับมัน วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอรวบรวมเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับโลกใบนี้มาฝากกัน เชื่อว่าน่าจะทำให้หลาย ๆ คนรู้จักโลกมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว



   1. โลกหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็ว 1,670 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาพบว่าโลกเราน่าจะหมุนรอบตัวเองช้าลงเรื่อย ๆ  จากเมื่อหลายล้านปีก่อน โลกเคยหมุนเร็วกว่านี้จน 1 วันบนโลกน่าจะมีเพียง 20 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ปัจจุบัน 1 วันบนโลกอยู่ที่ 23 ชั่วโมง 56 นาที 4 วินาที (หรือที่เราปัดเป็น 24 ชั่วโมง) และในอีกหลายล้านปีข้างหน้า เวลา 1 วันบนโลกอาจยาวไปเป็น 27 ชั่วโมงเลยทีเดียว

   2. โลกเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วราว 1 แสนกิโลเมตรต่อชั่วโมง และอย่างที่รู้กันดีว่า กว่าที่โลกจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ต้องใช้เวลาถึง 1 ปี ลองคิดดูสิว่าในปีหนึ่งโลกของเราจะต้องโคจรเป็นระยะทางไกลแค่ไหน

   3. โลกมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ยประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร แต่กระนั้นแสงแดดยังคงทำให้ผิวเราไหม้ได้ เลิกจินตนาการได้เลยว่าดวงอาทิตย์จะร้อนและมีขนาดใหญ่โตมโหฬารแค่ไหน

   4. พื้นผิวโลกมีส่วนที่เป็นน้ำมากถึง 71 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด แต่ที่เรายังต้องรณรงค์ประหยัดน้ำอยู่เรื่อย ๆ ก็เพราะน้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคได้นั้นมีแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 97 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็นน้ำเค็มทั้งหมด

   5. โลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ 8.7 ล้านสายพันธุ์ โดยแยกเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนบก 6.5 ล้านสายพันธุ์ ส่วนอีก 2.2 สายพันธุ์นั้นอยู่ในน้ำ (นี่ยังไม่นับรวมกับสิ่งมีชีวิตอีกหลายสายพันธุ์ที่เรายังไม่ค้นพบอีกนะนี่)

   6. โลกมีอายุราว 4.5 พันล้านปีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ประมาณ 150-200 ล้านปีที่แล้ว หรือคิดเป็น 5-10 เปอร์เซ็นต์ของอายุโลก

   7. ทุก ๆ วันจะมีอุกกาบาตตกรวมแล้วกว่า 100 ตันทั่วโลก แต่ไม่ได้ทำอันตรายใด ๆ ให้กับคนบนโลก เพราะมันเผาไหม้บนชั้นบรรยากาศไปก่อนตกสู่พื้นผิวโลกแล้ว

   8. โลกมีภูเขาไฟมากกว่าที่เราคิดไว้เยอะ และมีภูเขาไฟระเบิดอยู่บ่อย ๆ แต่ภูเขาไฟกว่า 90 เปอร์เซ็นต์บนโลกนั้น อยู่ใต้มหาสมุทรลึก

   9. แกนโลกมีอุณหภูมิสูงมาก ประมาณ 5,500 องศาเซลเซียส พอ ๆ กับความร้อนพื้นผิวดวงอาทิตย์เลยทีเดียว และที่แกนโลกนั้นดูเหมือนจะเป็นขุมทองแหล่งใหญ่ที่สุดในโลก โดยทอง 99 เปอร์เซ็นต์ของโลกอยู่ที่แกนโลกนั่นเอง (ว่าแต่มีใครสนใจจะเจาะลงไปบ้างไหมล่ะ?)

   10. มนุษย์สำรวจท้องทะเลได้เพียงไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยปีกว่าจะสำรวจผืนน้ำได้ทั่วโลก

ที่มา:
1.http://men.kapook.com/view74621.html

Friday, October 18, 2013

นาซาค้นพบดาวเคราะห์แปลก อยู่โดดเดี่ยวไม่มีดาวฤกษ์



โดยปกติแล้ว ดาวเคราะห์ทุกดวงที่เคยค้นพบมา จะอยู่กันเป็นระบบดาวและโคจรรอบดาวฤกษ์ของตัวเองทั้งนั้น แต่ล่าสุด มีดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่เปลี่ยนนิยามคำว่าดาวเคราะห์ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะมันหมุนคว้างอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่ได้โคจรรอบดาวใดเลย ทำให้ขอบข่ายการเรียนรู้ด้านดาราศาสตร์กว้างออกไปอีก
          เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2556 สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า นักดาราศาสตร์จากนาซา ได้ค้นพบดาวเคราะห์สุดแปลก หมุนคว้างกลางอวกาศอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีระบบดาว ไม่มีดาวฤกษ์

          ดาวเคราะห์นี้ถูกเรียกว่า PSO J318.5-22 อยู่ห่างไกลจากโลกประมาณ 80 ปีแสง มีความหนาแน่นมากกว่าดาวพฤหัสซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะถึง 6 เท่า และน่าจะมีอายุเก่าแก่ประมาณ 12 ล้านปี แต่ระยะเวลาเพียงเท่านี้ถือว่าน้อยนิดมาก เรียกว่าดาวดวงนี้เป็นดาวทารกได้เลยทีเดียว

          ทางด้าน ไมเคิล หลิว หัวหน้าทีมค้นคว้าของสถาบันวิจัยด้านดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยประจำรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา เผยว่า พวกเขาไม่เคยพบสิ่งใดลอยคว้างเพียงลำพังในอวกาศแบบนี้มาก่อน มันมีลักษณะเหมือนดาวที่เพิ่งเกิดใหม่แบบเดียวกับดาวอื่น ๆ แต่มันกลับลอยอยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งตัวเขาเองเคยสงสัยมาตลอดว่าจะมีการคงอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนอวกาศแบบนี้จริงหรือเปล่า และตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันเป็นไปได้จริง ๆ 

          ในขณะที่การสำรวจผ่านกล้องโทรทรรศน์ Pan-STARRS 1 จากพื้นดินบริเวณภูเขาไฟฮาเลคาลา เกาะเมาอิ รัฐฮาวาย พบว่ามันเป็นดาวเคราะห์ที่มีระดับความหนาแน่นน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับวัตถุที่ลอยอยู่เพียงลำพังอื่น ๆ บนอวกาศ นอกจากนี้ยังพบว่ามันมีลักษณะคล้ายกลุ่มก๊าซยักษ์ที่โคจรอยู่รอบดาวเกิดใหม่ แม้ว่า PSO J318.5-22 จะไม่มีดาวหลักเป็นของตัวเองก็ตาม

ที่มา:

Wednesday, October 16, 2013

Where I Learned All About Austrian Economics


This month, Cato Unbound has had a debate about, basically, whether Austrian economics is a pseudoscience. It was sparked by a blog post I wrote alleging, in part:
Austrian economists reject empirical analysis, and instead believe that you can reach conclusions about correct economic policies from a priori principles. It's philosophy dressed up as economics.
Several of the Cato debaters took shots at me, arguing that I am only pretending to have an awareness of Austrian thinking. Professor Steven Horwitz writes of my "a priori" claim:
To say so is to misinterpret what Mises meant by the word praxeology and therefore fail to understand what he recommended as the appropriate methods for economists. It is also to rely on interpretations of what people like Mises and Rothbard had to say, as well as the pronouncements of various advocates of Austrian economics on blogs and Internet forums, rather than engaging with the professional research being published in the peer-reviewed journals by practicing Austrians.
George Selgin adds:
His essay amounts to nothing more than the crudest of caricatures of Austrian economics, free of the least indication that Barro actually read any of the works he so sweepingly condemns. On the contrary: the essay gives one the distinct impression that Mr. Barro, finding himself in the mood for some conservative-bashing, reached for the nearest hard object and just happened to grab The Road to Serfdom.
This is particularly amusing to me because of where I got my most extensive exposure to Austrian economics. It's not blogs and Internet forums. It's a series of programs put on by the Institute for Humane Studies and the Charles Koch Institute, two of the leading promoters of Austrian thinking in Washington D.C.'s nonprofit space.
Prof. Horwitz may not remember, but in the fall of 2008, we spent nine hours together in a conference room at the Hilton Alexandria Old Town. He was leading an IHS weekend seminar called "Hayek On Liberty," in which we broke down the minutiae of "The Constitution of Liberty" and a few other Hayek works.
Which, yes, I have read. I'm happy to show him my copy, filled with margin notes, if he wants proof. I also have two other copies, not filled with margin notes, because you can't walk five feet in libertarian Washington without someone handing you a free copy of a Hayek book.
I will admit that I was never able to finish Ludwig Von Mises' main work, "Human Action." It is a very unpleasant read in part because Mises is fond of making up his own words. (Note: As far as I can tell, "praxeology" means getting from the "axiom of human action" to policy prescriptions without looking at data.) But I attended enough lectures on it -- in the Charles G. Koch Summer Fellow Program, in the Koch Associate Program (an entire year of Thursdays spent discussing this sort of thing!), and at various IHS events -- to get the gist.
But Horowitz is right about something important: When I talk about "Austrian economics," I'm talking about Austrian economics as it is used by policymakers and advocates in Washington. Peter Leeson may be doing outstanding empirical work on pirates, but the components of Austrianism that impact the political discourse are strictly non-empirical.
And there is a reason for this. The key economic story of the last 70 years is the triumph of the mixed economy in growing both economic output and living standards. Only an anti-empirical approach to economics could lead to the conclusion that ideological libertarians want: that drastically small governments are better for the human condition than mid-size ones of the sort that exist throughout the advanced world.
This head-in-the-sand approach is why libertarians are still so into Hayek's "The Road to Serfdom," published in 1944, which predicted an inevitable slide from the mixed economy into socialist tyranny. Sixty-eight years later, that prediction has proved false, yet the book remains wildly popular.
If Horwitz thinks the heart of modern Austrian economic work is empirical, he should urge groups like IHS to put down "The Road to Serfdom" and start promoting those empirical papers. As Bryan Caplan notes, he'll have a fight on his hands, since the value of empirical study is a controversial topic among Austrians. He'll also face a fight because ideological libertarians do not want to subject themselves to methods of investigation that might force them to change their policy views.
source

Monday, October 14, 2013

Milton Friedman Quotes


"One of the greatest mistakes is to judge policies and programs by their intentions rather than their results." --Milton Friedman

Source:

Saturday, October 12, 2013

น้ำกระด้าง

น้ำกระด้าง
น้ำกระด้าง มีแคลเซียมไอออน (Ca2+) และแมกนิเซียมไอออน (Mg2+) ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทความ "หินปูน" ทำให้ประสิทธิภาพการทำความสะอาดของสบู่ลดน้อยลง เนื่องจากแคลเซียมในน้ำกระด้างทำปฏิกิริยาทางเคมีกับไอออนส่วนหนึ่งของสบู่ (Stearate anion) ทำให้เกิดแคลเซียมสเตียเรตท์ (Calcium Stearate) เป็นสาเหตุให้ต้องใช้สบู่จำนวนที่มากขึ้น (เมื่อเทียบกับน้ำที่ไม่กระด้าง) ในการทำความสะอาดที่เท่าเดิม ทั้งนี้ปริมาณของสบู่ที่ต้องใช้ในการทำความสะอาดในสภาวะน้ำกระด้างนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับความกระด้างของน้ำว่ามีแคลเซียมไอออนมากน้อยเพียงใด
H2O(l) + CO2(g) –> H2CO3(aq)
HCO3-(aq) –>CO32-(aq) + H+(aq) ------ ที่ pH » 7
Ca2+(aq) + CO32-(aq) –>CaCO3(s)
ในการทำความสะอาดผิวกายด้วยน้ำกระด้างนั้น แคลเซียมสเตียเรตท์ (Calcium Stearate) หรือว่าไขสบู่อาจจะ เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาทางผิวหนังมากมายเช่น สิว ผิวหนังอักเสบ เป็นต้น เพราะว่าไขสบู่ซึ่งเป็นสสารที่ไม่ละลายน้ำ อาจจะไปอุดรูขุมขนของเราขณะทำการทำความสะอาดได้ ด้วยสาเหตุนี้เองจึงควรจะใช้น้ำที่ปราศจากแคลเซียมไอออนในการทำความสะอาดผิวกาย
ที่มา:

Prof Peter Higgs did not know he had won Nobel Prize

Higgs, Peter (1929)3.jpg
Nobel Prize-winning scientist Prof Peter Higgs has revealed he did not know he had won the award until a woman congratulated him in the street.
Prof Higgs, who does not own a mobile phone, said a former neighbour had pulled up in her car as he was returning from lunch in Edinburgh.
He added: "She congratulated me on the news and I said 'oh, what news?'"
The woman had been alerted by her daughter in London that Prof Higgs had won the award, he revealed.
He added: "I heard more about it obviously when I got home and started reading the messages."
The 84-year-old emeritus professor at the University of Edinburgh was recognised by the Royal Swedish Academy of Sciences for his work on the theory of the particle which shares his name, the Higgs boson.
He shares this year's physics prize with Francois Englert of Belgium, and joins the ranks of past Nobel winners including Marie Curie and Albert Einstein.
'God particle'
The existence of the so-called "God particle", said to give matter its substance, or mass, was proved almost 50 years later by a team from the European nuclear research facility (Cern) and its Large Hadron Collider (LHC) in Geneva, Switzerland.
Speaking for the first time about the award at a media conference at the University of Edinburgh, he said: "How do I feel? Well, obviously I'm delighted and rather relieved in a sense that it's all over. It has been a long time coming."
An old friend told him he had been nominated as far back as 1980, he said.
Prof Higgs added: "In terms of later events, it seemed to me for many years that the experimental verification might not come in my lifetime.
"But since the start up of the LHC it has been pretty clear that they would get there, and despite some mishaps they did get there".
Stressing the involvement of other theorists and Cern, he added: "I think clearly they should, but it is going to be even more difficult for the Nobel Committee to allocate the credit when it comes to an organisation like Cern.
"I should remind you that although only two of us have shared this prize, Francois Englert of Brussels and myself, that the work in 1964 involved three groups of people, (including) two in Brussels.
"Unfortunately Robert Brout died a few years ago so is no longer able to be awarded the prize, but he would certainly have been one of the winners if he had still been alive.
"But there were three others who also contributed and it is already difficult to allocate the credit amongst the theorists.
"Although a lot of people seem to think I did all this single-handed, it was actually part of a theoretical programme which had been started in 1960."
Landmark research
Prof Higgs was born in Newcastle, but developed his theory while working at the University of Edinburgh.
The landmark research that defined what was to become known as the Higgs boson was published in 1964.
Discovering the particle became one of the most sought-after goals in science, and the team of scientists behind the $10bn LHC at Cern made proving its existence a key priority.
In July of last year, physicists at Cern confirmed the discovery of a particle consistent with the Higgs boson.
Prof Higgs, who had often been uncomfortable with the attention his theory brought, was in Geneva to hear the news, and wiped a tear from his eye as the announcement was made.
Reacting to the discovery at the time, he told reporters: "It's very nice to be right sometimes."
source:

Friday, October 11, 2013

หินปูน คือ อะไร


หินปูน
แคลเซียมคาร์บอเนต(CaCO3) เป็นสารประกอบชนิดหนึ่งหรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า หินปูน และมีชื่อที่เรียกกันในหมู่นักธรณีวิทยาว่า แร่คัลไซด์ หินปูนเป็นแร่ในกลุ่มหินตะกอนเกิดจากการทับถมของตะกอนคาร์บอเนตในแหล่งน้ำธรรมชาติ เกิดจากซากสิ่งมีชีวิตและสารอนินทรีย์ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งทับถมกันจนตกผลึกเป็นแร่คัลไซด์
น้ำกระด้างคือน้ำที่มีการเจือปนของแร่ธาตุสูง (โดยมากจะเป็น แคลเซียมไอออน และแมกนีเซียมไอออน) หินปูนถูกใช้ในอุตสาหกรรมการทาง ทำถนน ทางรถไฟ เผาทำปูนซิเมนต์ ปูนขาว หรือปูนกินหมาก ทำแคลเซียมคาร์ไบด์ ทำวัสดุทนไฟ ทำปุ๋ย และทำสี
อย่างไรก็ตาม ตัวหินปูนนี้เองที่เป็นต้นเหตุหลักของน้ำกระด้าง ดังนี้เราจะมาทำความรู้จักน้ำกระด้างกัน
โดยปกติแล้วน้ำกระด้างประกอบด้วย Ca2+ และ Mg2+ ในบางทีน้ำกระด้างก็อาจจะรวมไปถึงสารประกอบ คาร์บอเนต และซัลเฟต ในทศวรรษที่ 1960 นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งน้ำกระด้างเป็น 2 ประเภทคือ น้ำกระด้าง ชั่วคราว และน้ำกระด้างถาวร
1. น้ำกระด้างชั่วคราวคือน้ำที่ประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต(หรือ หินปูนนั่นเอง) ถ้าหากเราต้องการ ทราบว่า น้ำที่เราใช้อุปโภค หรือบริโภคอยู่นั้น มีหินปูนเจือปนอยู่หรือไม่ วิธีง่ายๆ ที่เราทำได้คือการนำน้ำ ไปต้ม และถ้าน้ำนั้นมีหินปูนเจือปนอยู่ เราก็จะเห็นคราบตะกรันเกาะอยู่ตามภาชนะที่ใช้ต้ม
ทำไมเราจึงเห็นคราบตะกรันภายหลังการต้ม??
สมการด้านล่างคือสิ่งที่แสดงถึงการละลายของหินปูนในน้ำ
CaCO3(s) + H2CO3(aq) ↔ Ca2+(aq) + 2HCO3-(aq)
H2CO3(aq) หรือที่รู้จักในนามกรดคาร์บอนิกนั้นเกิดจากการรวมตัวกันของน้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในทันทีที่เราทำการต้ม ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกกำจัดออกไปทำให้ปริมาณกรดคาร์บอนิกลดลง และส่งผลโดยตรงต่อ สมดุล จากสมการปฏิกริยาไปทางซ้ายจะเกิดขึ้น และส่งผลให้ปริมาณหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) เพิ่มสูงขึ้น
2. สำหรับน้ำกระด้างถาวรนั้นเราไม่สามารถกำจัดได้โดยง่าย เนื่องจากน้ำกระด้างถาวรเกิดจากแคลเซียม ซัลเฟต และแมกนีเซียมซัลเฟต เป็นหลัก ทันทีที่เราทำการต้มความสามารถในการละลายของสารดังกล่าว จะเพิ่งสูงขึ้น ดังนี้เราจึงไม่สามารถกำจัดสารเหล่านี้ออกมาได้โดยการต้ม

คำอธิบายฮิกส์โบซอนเฉพาะบุคคล



 ในช่วงนี้ ข่าวที่ฮ๊อตที่สุดในวงการวิทยาศาสตร์คงจะไม่พ้นเรื่องการค้นพบอนุภาคฮิกส์โบซอน (กำลังรอการยืนยัน) เป็นอนุภาคที่ถูกขนานนามว่าอนุภาคพระเจ้า แน่นอนว่าคำเรียกที่ดูเลยเถิดนี้สร้างความสนใจให้กับผู้คนไม่น้อย มีคนทุกเพศทุกวัยสงสัยอยากรู้ว่าตกลงแล้วไอ้เจ้าอนุภาคพระเจ้านี้คืออะไรกันแน่ หากคุณคือผู้ถาม จะไม่มีปัญหาสำหรับคุณ แต่ถ้าคุณกลับกลายเป็นผู้ถูกถามล่ะ คุณจะตอบพวกเขาอย่างไร ก่อนอื่นขอให้คุณพิจารณาดูว่า ผู้ที่มาถามคุณเกี่ยวกับฮิกส์โบซอนนั้น เขาคือใคร เป็นเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ และประเมินว่า เขามีความรู้ด้านฟิสิกส์มากเท่าใด หลังจากพิจารณาแล้ว… “In the name of god particle หรือ ในนามแห่งอนุภาคพระเจ้า” จะขอแนะนำให้คุณเลือกคำตอบที่เหมาะสม ดังนี้

รูป ปีเตอร์ ฮิกส์ ผู้เสนอแนวคิดกลไกของฮิกส์

1. สำหรับคนนั่งทางใน วิ่ง โต๊ด เต็ง ขอให้รวย

      ท้ายสามตัวงวดนี้ก็ไม่ได้ออก 125 ฉะนั้น อนุภาคฮิกส์ไม่มีอยู่จริง!!?

นี่ไม่ใช่การใบ้เลขแต่อย่างใด

2. สำหรับเด็กน้อยเจ้าปัญหา

      หากลูกน้อยของคุณเกิดความสงสัยว่าฮิกส์โบซอนคืออะไร แล้วเซ้าซี้ให้คุณตอบให้ได้ คำตอบที่แนะนำคืออธิบายว่า หากเปรียบตัวลูกน้อยคือสสาร สนามฮิกส์คือบ่อบอลที่อยู่ตามสนามเด็กเล่น (หรือพ่อแม่บางท่านอาจมีบ่อบอลเป่าลมอยู่ที่บ้าน) ลูกบอลพลาสติกแต่ละลูกคือฮิกส์โบซอน หากลูกลงไปเดินในบ่อบอล ลูกบอลเหล่านั้นจะขัดขวางการเดิน ทำให้เดินช้าหรืออาจทำให้ล้มได้ หากล้มก็เหมือนสสารถูกลากลงสู่ก้นของจักรวาล ที่ๆ มีงูและยักษ์รออยู่ แฮ่... (ขู่เด็ก จะได้เลิกถาม)

เด็กทุกคนกำลังถูกขัดขวางโดยอนุภาคฮิกส์โบซอน (ลูกบอล)

3. สำหรับนักเรียนภาษาอังกฤษ

      ฮิกส์โบซอนเป็นเหมือนกับการใช้ puntuation เป็นต้นว่า มันคือกลุ่มคำขยายที่เขียนระหว่างเครื่องหมาย semicolon และ comma ทำหน้าทีเพิ่มน้ำหนักให้กับประโยค หากขาดการใช้ puntuation แล้ว ประโยคจะอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านไม่เข้าใจ แล้วประโยคจะกลายเป็นรหัสลับแทน

4. สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย

      ฮิกส์โบซอนไม่ใช่อะตอม ไม่ได้ปรากฎเป็นตัวๆ ในโครงสร้างอะตอม แต่เป็นอนุภาคฐานชนิดหนึ่ง เพิ่งค้นพบที่ CERN... จริงๆ นะ... การมีอยู่ของฮิกส์โบซอนทำให้เกิดการรวมแรงแม่เหล็กไฟฟ้าที่เรียนตอน ม. 6 เทอมต้นกับการสลายตัวของสารกัมมันตรังสีที่เรียนตอน ม.6 เทอมปลายไว้เป็นเรื่องเดียวกัน แล้วเมื่ออนุภาคฮิกส์ชนกับอนุภาคของสสารก็ทำให้สสารนั้นมีมวลด้วยนะ พวก อิเล็กตรอน โปรตอน และ นิวตรอน มีสปรินเป็น 1/2 แต่ไอ้เจ้าฮิกส์โบซอนนี้ดันมีสปริน 0 ซะงั้น ใช่ๆๆ... คำว่า "โบซอน" มันหมายถึงสปรินเป็นจำนวนเต็มนั้นแหละ 0 เป็นจำนวนเต็มใช่ไหมล่ะ โอ๊ะลืมบอกไป ฮิกส์โบซอนเป็นกลางทางไฟฟ้าด้วยนะ อ้อ... เรื่องนี้ไม่มีออกข้อสอบ PAT2 หรือ PAT3 หรอก ไม่ต้องห่วง การรวมแรงของธรรมชาติเกิดจากความคิดไอน์สไตน์.... (เปลี่ยนไปเล่าเรื่องไอน์สไตน์แทน)

5. สำหรับนักธุรกิจ

      นี่คือการค้นพบนี้ทำให้สูญเงินไปมหาศาล ไม่มีผลกำไร และยังมีท่าทีว่าจะต้องใช้เงินไปกับมันอีกอย่างไม่สิ้นสุด

6. สำหรับผู้ที่กำลังพาลูกไปเที่ยว ถ้าลูกถามคุณ ให้ตอบดังนี้

      มันคืออนุภาคที่นักวิทยาศาสตร์ต้องหามันให้พบให้ได้ เพราะพวกเขารู้ว่าหากไม่มีอนุภาคนี้ เพราะเอกภพจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ไม่ได้ อนุภาคส่วนประกอบของสสารอื่นๆ จะไม่มีมวลจึงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง มันก็เป็นแบบนี้แหละนะ แล้วอย่าถามอีกนะ ไม่งั้นจะไม่พาไปสวนสนุกล่ะ

เด็กๆ พวกนี้อาจถามคุณก็ได้ว่า "ฮิกส์โบซอนคืออะไร"

7. สำหรับผู้ที่มีความรู้ทางฟิสิกส์ในระดับดีและคุณต้องการให้เขาประทับใจ

      ฮิกส์โบซอนคืออนุภาคมูลฐานจากแนวคิด “กลไกของฮิกส์” ที่ถูกเสนอในปี พ.ศ. 2505 โดย นักฟิสิกส์ชื่อ ปีเตอร์ ฮิกส์ แนวคิด “กลไกของฮิกส์” คือส่วนต่อเติมของแบบจำลองอนุภาคมาตรฐาน (standard model of particle physics) ซึ่งอธิบายว่า สนามฮิกส์เป็นสนามสเกลา มีโครงสร้างเป็น 2 คู่ แต่ละคู่เป็นฟังก์ชันเชิงซ้อน หรือก็คือสนามฮิกส์มี 4 DOF (DOF ย่อจาก degree of freedom คือ องศาความอิสระ) พลศาสตร์ของสนามฮิกส์มีสมมาตรภายใต้การหมุนระหว่าง 4 DOF นั้นคือ การหมุนระหว่างคู่และการหมุนบนระนาบเชิงซ้อนของแต่ละคู่ พูดให้ยากก็คือ พลศาสตร์ของสนามฮิกส์มีสมมาตรภายใต้เกจกรุ๊ป SU(2) \times U(1) เพียงเสี้ยววินาทีหลังเกิดบิกแบง เอกภพมีพลังงานต่ำลง สนามฮิกส์จึงเสียสมมาตรที่มีอยู่เพื่อเข้าสู่สถานะใหม่ที่มีพลังงานต่ำกว่า 

เมื่อเอกภพมีพลังงานต่ำลง สนามฮิกส์เริ่มอยากจะตกลงไปสู่สภานะที่มีพลังงานต่ำกว่า โดยการยอมเสียสมมาตร
ทำให้พลศาสตร์ของสนามฮิกส์มีเหลือแค่สมมาตรแค่การหมุนระหว่าง 3 DOF เท่านั้น แต่ 3 DOF ที่มีนี้กลับถูกดูดกลืนโดยสนามเวกเตอร์ 3 สนาม  ทำให้สนามเวกเตอร์ทั้ง 3 เกิดมีมวล และทำหน้าที่เป็นสื่อนำแรงของแรงนิวเคลียร์แบบอ่อน อีก 1 DOF ที่เหลือจากการเสียสมมาตรยังคงอยู่ สนามของสสารเมื่อมีอันตรกิริยากับสิ่งที่เหลือนี้จะเกิดมวลขึ้น สถานะกระตุ้นของ 1 DOF ที่เหลือของสนามฮิกส์ปรากฎเป็นอนุภาคฮิกส์โบซอนนั่นเอง ส่วนความสำคัญของการค้นพบอนุภาค ฮิกส์คือ เป็นสิ่งยืนยันว่า “กลไกของฮิกส์” มีอยู่จริง

3 DOF ของสนามฮิกส์หลังเสียสมมาตร โดน ของสนามเวกเตอร์ทั้ง 3 คือ W+ W- และ Z ดูดกลืน (กิน) ทำให้พวกมันมีมวล ส่วน 1 DOF ที่รอดจะปรากฎเป็นอนุภาคฮิกส์โบซอน
ถึงตรงนี้ คุณจะได้รับแนวทางการอธิบายการค้นพบอนุภาคฮิกส์หลายแนวทาง พร้อมทั้งติดมุขตลก หวังว่าจะนำไปปรับใช้ เมื่อคุณถูกถามว่า "ฮิกส์โบซอนคืออะไร" ได้อย่างสนุกนะครับ

ที่มา:

Wednesday, October 9, 2013

White House rejects latest Republican offer to end shutdown

A sign at the entrance to Bandelier National Monument in New Mexico announces its closure October 1, 2013. U.S. President Barack Obama would veto any 'piecemeal' legislation that would restore funding only to certain parts of the government like national parks, veterans programs and the District of Columbia rather than a broad federal spending bill, the White House said on Tuesday. REUTERS-Brian Snyder
(Reuters) - The White House rejected a Republican plan to reopen portions of the U.S. government on Tuesday as the first shutdown in 17 years closed landmarks like the Statue of Liberty and threw hundreds of thousands of federal employees out of work.
The back and forth offered no sign that President Barack Obama and Republicans can soon end a standoff over health care that has sidelined everything from trade negotiations to medical research and raised new concerns about Congress's ability to perform its most basic duties.
The Republican plan would restore funding for national parks, veterans services, and the District of Columbia. Other government services would remain unfunded.
While the selective funding approach appeared to unite conservative and moderate Republicans for now, the White House said Obama would veto it. Democrats who control the Senate said they would reject it before it reached Obama's desk.
Republicans who control the House of Representatives said Obama could not complain about the impact of the shutdown while refusing to negotiate. "The White House position is unsustainably hypocritical," said MichaelSteel, a spokesman for House Speaker John Boehner.
An even bigger battle looms in coming weeks, when Congress must raise the debt limit or risk a U.S. default that could roil global markets.
"This is a mess. A royal screwup," said Democratic Representative Louise Slaughter of New York.
Obama accused Republicans of taking the government hostage in order to sabotage his signature health care law, the most ambitious U.S. social program in five decades.
"They've shut down the government over an ideological crusade to deny affordable health insurance to millions of Americans," Obama said in the White House Rose Garden.
Republicans in the House view the Affordable Care Act as a dangerous extension of government power and have coupled their efforts to undermine it with continued government funding. The Democratic-controlled Senate has repeatedly rejected those efforts.
Spending authority for much of the government expired at midnight on Monday (0400 GMT), but that did not prevent the Obama administration from opening on Tuesday the health-insurance exchanges that form the centerpiece of the law.
VETERANS PASS BARRICADES
Republicans said their latest proposal would help elderly veterans who earlier in the day pushed past barricades at the National World War II Memorial to get into the shuttered site.
"They're coming here because they want to visit their memorial, the World War II memorial. But no, the Obama administration has put barricades around it," said Republican Representative Mike Simpson of Idaho.
Democrats said Republicans were resorting to gimmicks to avoid a vote that would restore funding to the entire government because they were afraid it would pass.
"That's important - a park? How about the kids who need daycare?" said Democratic Representative Sander Levin of Michigan. "You have to let all the hostages go. Every single one of them."
The veterans in question had gotten in to the memorial with help from several Republican lawmakers. But they didn't seem particularly interested in taking sides.
"It's just like a bunch of little kids fighting over candy," said George, Atkinson, an 82-year-old Coast Guard veteran of the Korean War. "The whole group ought to be replaced, top man down."
The plan appeared to temporarily unite Republicans, heading off a split between Tea Party conservatives who pushed for the government funding confrontation and moderates who appear to be losing stomach for the fight.
Before a meeting of House Republicans, Representative Peter King, a New York moderate, estimated that more than 100 of the chamber's 232 Republicans would back Obama's demand to restore all government funding without conditions. That would be enough to easily pass the House with the support of the chamber's 200 Democrats.
The shutdown closed landmarks like the Grand Canyon and pared the government's spy agencies by 70 percent. In Washington, the National Zoo shut off a popular "panda cam" that allowed visitors to view its newborn panda cub online. In Pennsylvania, white supremacists had to cancel a planned rally at Gettysburg National Military Park.
MARKET REACTION
Whether the shutdown represents another bump in the road for a Congress increasingly plagued by dysfunction or is a sign of a more alarming breakdown in the political process could be determined by the reaction among voters and on Wall Street.
Stock investors appeared to be taking the news in stride with investors confident a deal could be reached quickly. The S&P 500 closed up 0.8 percent and the Nasdaq Composite gained 1.2 percent.
But the U.S. Treasury was forced to pay the highest interest rate in about 10 months on its short-term debt as many investors avoided bonds that would be due later this month, when the government is due to exhaust its borrowing capacity.
If Congress can agree to a new funding bill soon, the shutdown would have little impact on the world's largest economy.
A week-long shutdown would slow U.S. economic growth by about 0.3 percentage points, according to Goldman Sachs, but a longer disruption could weigh on the economy more heavily as furloughed workers scale back personal spending.
The last shutdown in 1995 and 1996 cost taxpayers $1.4 billion, according to congressional researchers.
The political crisis raised fresh concern about whether Congress can meet a crucial mid-October deadline to raise the government's $16.7 trillion debt ceiling. Some Republicans see that vote as another opportunity to undercut Obama's healthcare law.
Failure to raise the debt limit would force the country to default on its obligations, dealing a blow to the economy and sending shockwaves around global markets.
A 2011 standoff over the debt ceiling hammered consumer confidence and prompted a first-ever downgrade of the United States' credit rating.
Analysts say this time it could be worse. Lawmakers back then were fighting over how best to reduce trillion-dollar budget deficits, but this time they are at loggerheads over an issue that does not lend itself to compromise as easily: an expansion of government-supported health benefits to millions of uninsured Americans.
Republicans have voted more than 40 times to repeal or delay "Obamacare," but they failed to block the launch of its online insurance marketplaces on Tuesday. The program had a rocky start as government websites struggled to cope with heavy online traffic.
"What I'm hearing from my constituents at home is if this is the only way to stop the runaway train called the federal government, then we're willing to try it," said Texas Senator John Cornyn, the second-ranking Republican in the Senate.
A Reuters/Ipsos poll showed 24 percent of Americans would blame Republicans, while 19 percent would blame Obama or Democrats. Another 46 percent said everyone would be to blame.
The shutdown battles of the 1990s didn't substantially affect public's opinion of then-Democratic President Bill Clinton or his Republican adversaries, the Gallup polling organization said.
Republicans and Democrats traded blame for the shutdown, but many seemed deeply embarrassed for the institution as a whole.
Several said they planned to donate their salaries to charity or forego pay altogether.
"This is a black eye on our government at all levels," said Republican Representative Michael Grimm of New York. "I think it's a low point for us."
(Additional reporting by Ian Simpson, Richard Cowan, Caren Bohan, David Lawder, Roberta Rampton and Steve Holland; Writing by Andy Sullivan; Editing by Karey Van Hall, David Storey and Tim Dobbyn)

source: